หลักการวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องที่ฟังและดู

การวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องที่ฟังและดู

 

                สังคมปัจจุบันช่องทางการนำเสนอข้อมูลให้ดูและฟังจะมีมากมาย  ดังนั้นผู้เรียนควรรู้จักเลือกที่จะดูและฟัง  เมื่อได้รับรู้ข้อมูลแล้ว  การรู้จักวิเคราะห์ วิจารณ์ เพื่อนำไปใช้ในทางสร้างสรรค์  เป็นสิ่งจำเป็นเพราะผลที่ตามมาจากการดูและฟังจะเป็นผลบวกหรือลบแก่สังคม  ก็ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้นี่เอง  นั่นคือผลดีจะเกิดแก่สังคมก็เมื่อผู้ดูและฟังนำผลที่ได้นั้นไปใช้อย่างสร้างสรรค์  หรือในปัจจุบันจะมีสำนวนที่ใช้กันอย่างแพร่หลายว่าคิดบวกนั่นเอง

เมื่อรู้จักหลักในการดูและฟังแล้ว  ควรจะรู้จักประเภทเพื่อแยกแยะในการนำไปใช้ประโยชน์  ซึ่งอาจสรุปประเภทได้ดังนี้

1.  สื่อโฆษณา  สื่อประเภทนี้ผู้ฟังต้องรู้จุดมุ่งหมาย  เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการสื่อให้คล้อยตาม  อาจไม่สมเหตุสมผล  ผู้ฟังต้องพิจารณาไตร่ตรองก่อนซื้อหรือก่อนตัดสินใจ

2.  สื่อเพื่อความบันเทิง  เช่น เพลง, เรื่องเล่า ซึ่งอาจมีการแสดงประกอบด้วย เช่น นิทาน นิยาย หรือสื่อประเภทละคร สื่อเหล่านี้ผู้รับสารต้องระมัดระวัง  ใช้วิจารณญาณประกอบการตัดสินใจก่อนที่จะซื้อหรือทำตาม  ปัจจุบันรายการโทรทัศน์จะมีการแนะนำว่าแต่ละรายการเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายใด  เพราะเชื่อกันว่าถ้าผู้ใดขาดความคิดในเชิงสร้างสรรค์แล้ว  สื่อบันเทิงอาจส่งผลร้ายต่อสังคมได้  เช่น ผู้ดูเอาตัวอย่างการจี้, ปล้น, การข่มขืนกระทำชำเรา  และแม้แต่การฆ่าตัวตาย  โดยเอาอย่างจากละครที่ดูก็เคยมีมาแล้ว

3.  ข่าวสาร  สื่อประเภทนี้ผู้รับสารต้องมีความพร้อมพอสมควร  เพราะควรต้องรู้จักแหล่งข่าว ผู้นำเสนอข่าว การจับประเด็น ความมีเหตุมีผล รู้จักเปรียบเทียบเนื้อหาจากที่มาของข่าวหลาย ๆ แห่ง เป็นต้น

4. ปาฐกถา  เนื้อหาประเภทนี้ผู้รับสารต้องฟังอย่างมีสมาธิเพื่อจับประเด็นสำคัญให้ได้  และก่อนตัดสินใจเชื่อหรือนำข้อมูลส่วนใดไปใช้ประโยชน์ต้องมีความรู้พื้นฐานในเรื่องนั้น ๆอยู่บ้าง

5.  สุนทรพจน์ สื่อประเภทนี้ส่วนใหญ่จะไม่ยาว และมีใจความที่เข้าใจง่าย ชัดเจน แต่ผู้ฟังจะต้องรู้จักกลั่นกรองสิ่งที่ดีไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติ

สรุปการฟังอย่างสร้างสรรค์นี้จะต้อง

–                   รู้จุดมุ่งหมายของสารที่ดูและฟังนั้น

–                   รับฟังและดูอย่างตั้งใจและทำความเข้าใจ

–                   รู้จักสรุปและเลือกนำไปใช้ประโยชน์

หลักและแนวทางการฟังและดูอย่างสร้างสรรค์

                1.  ต้องเข้าใจความหมาย  หลักเบื้องต้นจองการจับใจความของสารที่ฟังและดูนั้น  ต้องเข้าใจความหมายของคำ  สำนวนประโยคและข้อความที่บรรยายหรืออธิบาย

2.  ต้องเข้าใจลักษณะของข้อความ  ข้อความแต่ละข้อความต้องมีใจความสำคัญของเรื่องและใจความสำคัญของเรื่องจะอยู่ที่ประโยคสำคัญ ซึ่งเรียกว่า ประโยคใจความ  ประโยคใจความจะปรากฏอยู่ในตอนใดตอนหนึ่งของข้อความ  โดยปกติจะปรากฏอยู่ในตอนต้น ตอนกลาง และตอนท้าย  หรืออยู่ตอนต้นและตอนท้ายของข้อความผู้รับสารต้องรู้จักสังเกต  และเข้าใจการปรากฏของประโยคใจความในตอนต่าง ๆ ของข้อความ  จึงจะช่วยให้จับใจความได้ดียิ่งขึ้น

3.  ต้องเข้าใจในลักษณะประโยคใจความ  ประโยคใจความ คือข้อความที่เป็นความคิดหลัก  ซึ่งมักจะมีเนื้อหาตรงกับหัวข้อเรื่อง เช่น เรื่อง “สุนัข” ความคิดหลักคือ สุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงที่รักเจ้าของ  แต่การฟังเรื่องราวจากการพูดบางทีไม่มีหัวข้อ  แต่จะพูดตามลำดับของเนื้อหา  ดังนั้นการจับใจความสำคัญต้องฟังให้ตลอดเรื่องแล้วจับใจความว่า  พูดถึงเรื่องอะไร คือจับประเด็นหัวเรื่อง  และเรื่องเป็นอย่างไรคือ สาระสำคัญหรือใจความสำคัญของเรื่องนั่นเอง

4.  ต้องรู้จักประเภทของสาร  สารที่ฟังและดูมีหลายประเภท  ต้องรู้จักและแยกประเภทสรุปของสารได้ว่า เป็นสารประเภทข้อเท็จจริง  ข้อคิดเห็นหรือเป็นคำทักทายปราศรัย ข่าว ละคร สารคดี จะได้ประเด็นหรือใจความสำคัญได้ง่าย

5.  ต้องตีความในสารได้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร  ผู้ส่งสารมีเจตนาที่จะส่งสารต่าง ๆ กับบางคนต้องการให้ความรู้  บางคนต้องการโน้มน้าวใจ และบางคนอาจจะต้องการส่งสารเพื่อสื่อความหมายอื่น ๆ ผู้ฟังและดูต้องจับเจตนาให้ได้  เพื่อจะได้จับสารและใจความสำคัญได้

                6.  ตั้งใจฟังและดูให้ตลอดเรื่อง  พยายามทำความเข้าใจให้ตลอดเรื่อง  ยิ่งเรื่องยาวสลับซับซ้อนยิ่งต้องตั้งใจเป็นพิเศษและพยายามจับประเด็นหัวเรื่อง  กริยาอาการ ภาพและเครื่องหมายอื่น ๆ ด้วนความตั้งใจ

7.  สรุปใจความสำคัญ  ขั้นสุดท้ายของการฟังและดูเพื่อจับใจความสำคัญก็คือสรุปให้ได้ว่า เรื่องอะไร ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไรและทำไม หรือบางเรื่องอาจจะสรุปได้ไม่ครบทั้งหมดทั้งนี้ย่อมขึ้นกับสารที่ฟังจะมีใจความสำคัญครบถ้วนมากน้อยเพียงใด

 

วิจารณญาณในการฟังและดู

                พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของ วิจารณญาณไว้ว่า ปัญญาที่สามารถรู้หรือให้เหตุผลที่ถูกต้อง  คำนี้มาจากคำว่า พิจารณ์ หรือวิจารณ์ คำหนึ่ง ซึ่งแปลว่า การคิดใคร่ครวญโดยใช้เหตุผลและคำว่า ญาณ คำหนึ่ง ซึ่งแปลว่าปัญหาหรือ ความรู้ในชั้นสูง

วิจารณญาณในการฟังและดู  คือการรับสารให้เข้าใจเนื้อหาสาระใช้ปัญญาคิดใคร่ครวญโดยอาศัยความรู้ ความคิด เหตุผล และประสบการณ์ประกอบแล้วสามารถนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสม

การฟังและดูให้เกิดวิจารณญาณนั้นมีขั้นตอนในการพัฒนาเป็นลำดับบางทีก็อาจเป็นไปอย่างรวดเร็ว  บางทีก็ต้องอาศัยเวลา  ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับพื้นฐานความรู้  ประสบการณ์ของบุคคลและความยุ่งยากซับซ้อนของเรื่องหรือสารที่ฟัง

 

 

 

 

ขั้นตอนการฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณมีดังนี้

                1.  ฟังและดูให้เข้าใจเรื่อง  เมื่อฟังเรื่องใดก็ตามผู้ฟังจะต้องตั้งใจฟังเรื่องนั้นให้เข้าใจตลอดเรื่อง  ให้รู้ว่าเนื้อเรื่องเป็นอย่างไร  มีสาระสำคัญอะไรบ้าง พยายามทำความเข้าใจรายละเอียดทั้งหมด

2.  วิเคราะห์เรื่อง  จะต้องพิจารณาว่าเรื่องเป็นเรื่องประเภทใดเป็นข่าว  บทความ เรื่องสั้น นิทาน นิยาย บทสนทนา สารคดี ละคร และเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรอง เป็นเรื่องจริงหรือแต่งขึ้นต้องวิเคราะห์ลักษณะของตังละคร และกลวิธีในการเสนอสารของผู้ส่งสารให้เข้าใจ

3.  วินิจฉัยเรื่อง  คือการพิจารณาเรื่องที่ฟังว่าเป็นข้อเท็จจริง  ความรู้สึกความคิดเห็นและผู้ส่งสารหรือผู้พูดผู้แสดงมีเจตนาอย่างไรในการพูดการแสดง  อาจจะมีเจตนาที่จะโน้มน้าวในจรรโลงหรือแสดงความคิดเห็น  เป็นเรื่องที่มีเหตุมีผลมีหลักฐานน่าเชื่อถือหรือไม่และมีคุณค่ามีประโยชน์เพียงใด

 

 

สารที่ให้ความรู้

                สารที่ให้ความรู้บางครั้งก็เข้าใจง่าย  แต่งบางครั้งที่เป็นเรื่องสลับซับซ้อนก็จะเข้าใจยาก  ต้องใช้การพินิจพิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง  ทั้งนี้ย่อมขึ้นกับเรื่องที่เข้าใจง่ายหรือเข้าใจยาก  ผู้รับมีพื้นฐานในเรื่องที่ฟังเพียงใด  ถ้าเป็นข่าวหรือบทความเกี่ยวหับเกษตรกรผู้มีอาชีพเกษตรย่อมเข้าใจง่าย  ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจนักธุรกิจก็จะได้เข้าใจง่ายกว่าผู้มีอาชีพเกษตร  และผู้พูดหรือผู้ส่งสารก็มีส่วนสำคัญ  ถ้ามีความรู้ในเรื่องนั้นเป็นอย่างดีรู้วิธีเสนอ ก็จะเข้าใจได้ง่าย

ข้อแนะนำในการรับสารที่ให้ความรู้โดยใช้วิจารณญาณมีดังนี้

                1.  เมื่อได้รับสารที่ให้ความรู้เรื่องใดต้องพิจารณาว่าเรื่องนั้นมีคุณค่าหรือมีประโยชน์ควรแก่การใช้วิจารณญาณมากน้อยเพียงใด

2.  ถ้าเรื่องที่ต้องใช้วิจารณญาณไม่ว่าจะเป็นข่าว บทความ สารคดี ข่าว หรือความรู้เรื่องใดก็ตาม  ต้องฟังด้วยความตั้งใจจับประเด็นสำคัญให้ได้  ต้องตีความหรือพินิจพิจารณาว่า ผู้ส่งสารต้องการส่งสารถึงผู้รับคืออะไร  และตรวจสอบหรือเปรียบเทียบกับเพื่อน ๆ ที่ฟังร่วมกันมาว่าพิจารณาได้ตรงกันหรือไม่อย่างไร  หากเห็นว่าการฟังและดูของเราต่างจากเพื่อนด้อยกว่าเพื่อนจะได้ปรับปรุงแก้ไขให้มีปะสิทธิภาพการฟังพัฒนาขึ้น

3.  ฝึกการแยกแยะข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น เจตคติของผู้พูดหรือแสดงที่มีต่อเรื่องที่พุดหรือแสดงและฝึกพิจารณาตัดสินใจว่าสารที่ฟังและดูนั้นเชื่อถือได้หรือไม่  และเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด

4.  ขณะที่ฟังควรบันทึกสาระสำคัญของเรื่องไว้  ตลอดทั้งประเด็นการอภิปรายไว้เพื่อนำไปใช้

5.  ประเมินสารที่ให้ความรู้ว่า  มีความสำคัญมีคุณค่าและประโยชน์มากน้อยเพียงใด มีแง่คิดอะไรบ้าง และผู้ส่งสารมีกลวิธีในการถ่ายทอดที่ดีน่าสนใจอย่างไร

6.  นำคุณค่าประโยชน์ข้อคิด ความรู้และกลวิธีต่าง ๆ ที่ได้จากการฟังไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต  พัฒนาชุมชนและสังคมได้อย่างเหมาะสม

สารที่โน้มน้าวใจ

สารที่โน้มน้าวใจเป็นสารที่เราพบเห็นประจำจากสื่อมวลชน  จากการบอกเล่าจากปากหนึ่งไปสู่ปากหนึ่ง ซึ่งผู้ส่งสารอาจจะมีจุดมุ่งหมายหลายอย่างทั้งที่ดี และไม่ดี มีประโยชน์หรือให้โทษจุดมุ่งหมายที่ให้ประโยชน์ก็คือ  โน้มน้าวใจให้รักชาติบ้านเมือง  ให้ใช้จ่ายอย่างประหยัด ให้รักษาสิ่งแวดล้อม ให้รักษา

สาธารณสมบัติและประพฤติแต่สิ่งที่ดีงาม  ในทางตรงข้ามผู้ส่งสารอาจจะมีจุดมุ่งหมายให้เกิดความเสียหาย  มุ่งหมายที่จะโฆษณาชวนเชื่อหรือปลุกปั่น ยุยงให้เกิดการแตกแยก  ดังนั้นจึงต้องมีวิจารณญาณ คิดพิจารณาให้ดีกว่าสารนั้นเป็นไปในทางใด

การใช้วิจารณญาณสารโน้มน้าวใจควรปฏิบัติดังนี้

                        1.  สารนั้นเรียกร้องความสนใจมากน้อยเพียงมด หรือสร้างความเชื่อถือของผู้พูดมากน้อยเพียงใด

2.  สารที่นำมาเสนอนั้น สนองความต้องการพื้นฐานของผู้ฟังและดุอย่างไรทำให้เกิดความปรารถนาหรือความว้าวุ่นขึ้นในใจมากน้อยเพียงใด

3.  สารได้เสนอแนวทางที่สนองความต้องการของผู้ฟังและดูหรือมีสิ่งใดแสดงความเห็นว่าหากผู้ฟังและดูยอมรับข้อเสนอนั้นแล้วจะได้รับประโยชน์อะไร

4.  สารที่นำมาเสนอนั้นเร้าใจให้เชื่อถือเกี่ยวกับสิ่งใด และต้องการให้คิดหรือปฏิบัติอย่างไรต่อไป

5.  ภาษาที่ใช้ในการโน้มน้าวใจนั้นมีลักษณะทำให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์อย่างไรบ้าง

 

 

สารที่จรรโลงใจ

                ความจรรโลงใจ  อาจได้จากเพลง ละคร ภาพยนตร์ คำประพันธ์ สุนทรพจน์ บทความบางชนิด คำปราศรัย พระธรรมเทศนา โอวาท ฯลฯ เมื่อได้รับสารดังกล่าวแล้วจะเกิดความรู้สึกสบายใจ สุขใจ คลายเครียด เกิดจินตนาการ มองเห็นภาพและเกิดความซาบซึ้ง  สารจรรโลงใจจะช่วยยกระดับจิตใจมนุษย์ให้สูงขึ้นประณีตขึ้น  ในการฝึกให้มีวิจารณญาณในสารประเภทนี้ควรปฏิบัติดังนี้

1.  ฟังและดูด้วยความตั้งใจ  แต่ไม่เคร่งเครียดทำใจให้สบาย

2.  ทำความเข้าใจในเนื้อหาที่สำคัญ  ใช้จินตนาการไปตามจุดประสงค์ของสารนั้น

3.  ต้องพิจารณาว่าสิ่งฟังและดูให้ความจรรโลงในด้านใด อย่างไรและมากน้อยเพียงใด  หากเรื่องนั้นต้องอาศัยเหตุผล ต้องพิจารณาว่าสมเหตุสมผลหรือไม่

4.  พิจารณาภาษาและการแสดง  เหมาะสมกับรูปแบบเนื้อหาและผู้รับสารหรือไม่เพียงใด

 


การวิเคราะห์และวิจารณ์สาร

ความหมายของการวิเคราะห์ การวินิจและการวิจารณ์

          การวิเคราะห์  หมายถึง การที่ผู้ฟังและผู้ดูรับสารแล้วพิจารณาองค์ประกอบออกเป็นส่วน ๆ นำมาแยกประเภทลักษณะ สาระสำคัญของสาร กลวีการเสนอและเจตนาของผู้ส่งสาร

การวินิจ  หมายถึง การพิจารณาสารด้วยความเอาใจใส่ ฟังและดูอย่างไตรตรองพิจารณาหาเหตุผล แยกแยะข้อดีข้อเสีย คุณค่าของสาร ตีความหมายและพิจารณาสำนวน ภาษา ตลอดจนน้ำเสียงและการแสดงของผู้ส่งสาร  พยายามทำความเข้าใจความหายที่แท้จริงเพื่อให้ได้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของผู้วินิจ

การวิจารณ์  หมายถึง การพิจารณาเทคนิคหรือกลวิธีที่แสดงออกมานั้น ให้เห็นว่า น่าคิด น่าสนใจ น่าติดตาม มีชั้นเชิงยอกย้อนหรือตรงไปตรงมา องค์ประกอบใดมีคุณค่าน่าชมเชย องค์ประกอบใดน่าท้วงติงหรือบกพร่องอย่างไร การวิจารณ์สิ่งใดก็ตามจึงต้องใช้ความรู้มีเหตุมีผล มีหลักเกณฑ์และมีความรอบคอบด้วย

ตามปกติแล้ว  เมื่อจะวิจารณ์สิ่งใด  จะต้องผ่านขั้นตอนและกระบวนการของการวิเคราะห์สาร วินิจสาร และประเมินค่าสาร ให้ชัดเจนเสียก่อนแล้ว  จึงวิจารณ์แสดงความเห็นออกมาอย่างมีเหตุมีผลให้น่าคิด น่าฟังและเป็นคำวิจารณ์ที่เชื่อถือได้

การวิจารณ์  ที่รับฟังมาก็เช่นเดียวกัน  ต้องผ่านการวิเคราะห์ วินิจ และประเมินค่าสารนั้นมาก่อนและการวิจารณ์แสดงความคิดเห็นที่จะทำได้อย่างมรเหตุมีผลน่าเชื่อถือนั้น  ผู้รับสารจะต้องรู้หลักเกณฑ์การวิจารณ์แสดงความคิดเห็นตามชนิดของสารเพราะสารแต่ละชนิดย่อมมีองค์ประกอบเฉพาะตัว เช่น ถ้าเป็นข่าวต้องพิจารณาความถูกต้องตามความเป็นจริง  แต่ถ้าเป็นละครจุดูความสมจริง  และพิจารณาโครงเรื่อง เนื้อเรื่อง ฉาก ตัวละคร ภาษาที่ใช้ บาบาทการแสดง ฯลฯ นอกจากรู้หลักเกณฑ์แล้วจะต้องอาศัยการฝึกฝนบ่อย ๆ และอ่านตัวอย่างงานวิจารณ์ของผู้อื่นที่เชี่ยวชาญให้มาก  ก็จะช่วยให้การวิจารณ์ดีมีเหตุผลและน่าเชื่อถือ

 

 

สรุป 

                1.  วิจารณญาณในการฟังและดู  หมายถึงการรับสารให้เข้าใจตลอดเรื่องแล้วใช้ปัญญาคิดไตรตรอง  โดยอาศัยความรู้ ความคิด เหตุผล และประสบการณ์เดิมแล้วสามารถนำสาระต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสม  โดยมีขั้นตอนดังนี้

1.1  ฟังและดูให้เข้าใจตลอดเรื่อง

1.2  วิเคราะห์เรื่อง  ว่าเป็นเรื่องประเภทใด  ลักษณะของเรื่องและตัวละครเป็นอย่างไร  มีกลวิธีในการเสนอเรื่องอย่างไร

1.3  วินิจฉัย  พิจารณาเรื่องที่ฟังเป็นข้อเท็จจริง ความคิดเห็น เจตนาของผู้เสนอเป็นอย่างไร มีเหตุผลน่าเชื่อถือหรือไม่

1.4  การประเมินค่าของเรื่อง  ผ่านขั้นตอน 1 – 3 แล้ว ก็ประมาณว่าเรื่องหรือสารนั้นดีหรือไม่ดี มีอะไรที่จะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้

1.5  การนำไปใช้ประโยชน์  ผ่านขั้นตอนที่ 1 – 4 แล้ว ขั้นสุดท้ายคือ นำคุณค่าของเรื่องที่ฟังและดูไปใช้ได้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล

2.  การวิเคราะห์  หมายถึงการแยกแยะประเภท ลักษณะ สาระสำคัญและการนำเสนอพร้อมทั้งเจตนาของผู้พูดหรือผู้เสนอ

การวินิจ  หมายถึงการพิจารณาเรื่องอย่างไตรตรอง  หาเหตุผลข้อดีข้อเสีย  และคุณค่าของสาร

                การวิจารณ์  หมายถึง การพิจารณาอย่างมีหลักเกณฑ์ในเรื่องที่ฟังและดู  ว่ามีอะไรน่าคิดน่าสนใจ น่าติดตาม น่าชมเชย น่าชื่นชมและมีไรบกพร่องบ้าง

                การวิจารณ์สารหรือเรื่องที่ได้ฟังและดู  เมื่อได้วิเคราะห์และวินิจและใช้วิจารณญาณในการฟังและดูเรื่องหรือสารที่ได้รับแล้วก็นำผลมารายงานบอกกล่าวแสดงความคิดเห็นต่อสิ่งนั้น  อย่างมีเหตุผล มีหลักฐานประกอบ  และเป็นสิ่งสร้างสรรค์

 

หลักการฟังอย่างวิจารณญาณ การฟังอย่างวิจารณญาณมีหลักปฏิบัติดังนี้

ผู้ฟังพิจารณาว่า ฟังเรื่องอะไรเป็นการฟังประเภทบทความ บทสัมภาษณ์การเล่าเรื่องสรุปเหตุการณ์ ใครเป็นคนพูดคนสัมภาษณ์ ใครเป็นคนเขียนบทความ และหัวข้อนั้นมีคุณค่าแก่การฟังหรือไม่

1.1 พิจารณาผู้ส่งสารว่ามีจุดมุ่งหมาย และมีความจริงใจในการส่งสารนั้นเพียงใด

1.2 พิจารณาผู้ส่งสารว่ามีความรู้ ประสบการณ์หรือความใกล้ชิดกับเรื่องราวในสารนั้นเพียงใด

1.3 พิจารณาผู้ส่งสารว่าใช้กลวิธีในการส่งสารนั้นอย่างไร คือวิธีการธรรมดาหรือยอกย้อนซ่อนปมอย่างไร

1.4 พิจารณาเนื้อหาของสารว่า ส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง ส่วนใดเป็นข้อคิดเห็น

1.5 พิจารณาสารว่าเป็นไปได้ และควรเชื่อเพียงใด

1.6 ผู้ฟังควรประเมินว่าสิ่งที่ฟังมีประโยชน์และมีคุณค่ามากน้อยเพียงไร

หลักการแยกข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริง ในการรับฟังสาร นอกจากจะจับใจความสำคัญของเรื่องที่ฟังแล้ว นักเรียนจะต้องแยะแยะได้ว่า ใจความตอนใดเป็นข้อคิดเห็นส่วนตัวของผู้พูดซึ่งจะมีลักษณะเมื่อพิจารณาความถูกต้องได้ยาก และตอนใดเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถพิสูจน์ความถูกต้องได้ การแยกข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นมีดังนี้

1. การแยกข้อเท็จจริง เป็นข้อมูลที่สามารถพิสูจน์ได้ เห็นว่าเป็นจริงหรือเป็นเท็จ ได้จากตัวเลขเชิงปริมาณต่างๆ ที่มีอยู่ซึ่งทำการตรวจสอบได้ดังนี้ เช่นประชา หนัก 50 กิโลกรัม ,โอภาสสูงกว่าเสกสรรค์

2. ความคิดเห็นเป็นเรื่องของการคาดคะเนหรือการทำนายโดยอาศัยเหตุผลส่วนตัวซึ่งควรจะเปิดโอกาสให้มีการโต้แย้งหรือสนับสนุน เช่นของเก่าดีกว่าของใหม่ มีเงินดีกว่ามีเกียรติ

  1. คำถาม
    นักเรียนมีหลักการรับสารอย่างมีวิจารณญาณอย่างไรบ้าง?

    • เลขที่ ๑,๒ และ ๑๕

      ๑.เลือกดู และฟังเรื่องที่มีสาระ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้
      ๒.ตั้งใจดู และฟังตลอดตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง
      ๓.สรุปใจความสำคัญ อย่างที่เราเข้าใจ โดยใช้สำนวนของตนเอง
      ๔.อ่านซ้ำสิ่งที่เราสรุป จนเข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
      สมาชิก
      ๑.เด็กชายเจตนิพัทธ์ จันทร์เนตร เลขที่ ๑
      ๒.เด็กชายชาญณรงค์ ไชยลังกา เลขทีึ่ ๒
      ๓.เด็กหญิงนันทิกานต์ พัฒนา เลขที่ ๑๕
      ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒/๑

      • ถูกต้องแล้วค่ะ แต่อย่างลืมรู้จักวิเคราะห์สิ่งใดเป็นข้อเท็จจริง สิ่งใดเป็นข้อคิดเห็น และน่าเชือถือมากน้อยเพียงใดนะคะ

    • เด็กหญิง วาฐิณี สุทธะ เลขที่๒๑ และ เด็กหญิง ปวรัตน์ จันต๊ะวิไชย เลขที่๑๖ ชั้นม.๒/๑

      หลักการรับสารอย่างมีวิจารณญาณ คือ เราควรพิจารณาคิดไตร่ตรองทุกครั้งที่ได้รับข้อมูลหรือสารจากการดูหรือฟังอย่างเข้าใจว่าข้อมูลหรือสารที่ได้รับนั้นมีสาระประโยชน์หรือโทษอย่างไร โดยการนำมาวิเคราะห์

    • เมื่อเราได้รับสารแล้วควรพิจารณาว่าสารที่เราได้รับให้ความรู้เรื่องใดมีประโยชน์ต่อเราหรือไม่ ควรแยกแยะว่าสารที่เราได้รับนั้นเป็นข้อคิดเห็นหรือข้อเท็จจริง และจับใจความสำคัญของสารที่ได้รับ ควรจดบันทึกไว้และประเมินคุณค่าของสารที่ได้รับ นำข้อคิดหรือความรู้ที่ได้รับไปใช้ในชีวิตประวันและเผยแพร่แก่คนในสังคมได้อย่างเหมาะสม

      เด็กหญิง เจนจิรา บุญรักษา ชั้นม.2/1 เลขที่ 10
      เด็กหญิง อารียา คงทน ชั้นม.2/1 เลขที่ 26

    • น้ำตาล กับ เติ้ล 2/1

      1. เราควรฟังและดูด้วยความตั้งใจ

      2. ทำความเข้าใจในเนื้อหาที่ได้ฟังและดู

      3. พิจารณาว่าสิ่งฟังและดูให้ความรู้ในด้านใด อย่างไรและมากน้อยเพียงใด หากเรื่องนั้นต้องอาศัยเหตุผล ต้องพิจารณาว่าสมเหตุสมผลหรือไม่

      4. สรุปใจความสำคัญที่เราได้ฟังและดูว่าเราเข้าใจมากแค่ไหน

      สมาชิกในกลุ่ม
      ด.ญ.ธัญญาเรศ ต้นเกษ เลขที่ 31
      ด.ญ. ธัญชนก ขันยม เลขที่ 14
      ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1

    • เราควรพิจารณาว่าสารนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับเราอย่างไรสารอาจจะเป็นข่าว บทความ สารคดี ข่าว หรือความรู้เรื่องใดก็ตาม ต้องฟังด้วยความตั้งใจจับประเด็นสำคัญให้ได้ ต้องตีความหรือพินิจพิจารณาว่า ผู้ส่งสารต้องการส่งสารถึงผู้รับคืออะไร และตรวจสอบหรือเปรียบเทียบกับเพื่อน ๆ ที่ฟังร่วมกันมาว่าพิจารณาได้ตรงกันหรือไม่อย่างไร

      เด็กหญิง โสภาพร จำปีกาง ชั้นม.2/1 เลขที่ 37
      เด็กหญิง บุญยานุช ทิพย์จักร ชั้นม.2/1 เลขที่ 33

      • ดีมากค่ะ ก็คืออย่าเพิ่งด่วนเชื่อในสิ่งที่ได้รับฟัง ควรไตร่ตรองหาเหตุผล และที่สำคัญ ถามเพื่อนๆ ก่อนใช่เปล่าคะ

    • เมื่อได้รับสารที่ให้ความรู้เรื่องใดต้องพิจารณาว่าเรื่องนั้นมีคุณค่าหรือมีประโยชน์ควรแก่การใช้วิจารณญาณมากน้อยเพียงใด
      ด.ญ.อาทิตยา โนวัง เลขที่38 ม.2/1
      ด.ญ.ธัญสรณ์ บุญธรรม เลขที่32 ม.2/1

    • เด็กชายเจณรินทร์ ใจยศ

      ฝึกการแยกแยะข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น เจตคติของผู้พูดหรือแสดงที่มีต่อเรื่องที่พุดหรือแสดงและฝึกพิจารณาตัดสินใจว่าสารที่ฟังและดูนั้นเชื่อถือได้หรือไม่ และเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด

  2. คิดวิเคราะห์ แยกแยะข้อเท็จจริง จดรายละเอียดสาระสำคัญของสารเพื่อเป็นประโยชน์และคุณค่าในการใช้เป็นหลักดำเนินชีวิต

    เด็กหญิง ภัชราภา เฟื่องฟู ชั้นม.2/1 เลขที่19
    เด็กหญิง รุ่งนภา วังสาร ชั้นม.2/1 เลขที่20

  3. ด.ญ.ปานทิพย์ จินะป๊อก

    ฟังอย่างตั้งใจ เมื่อฟังแล้วก็นำความรู้ที่ได้จาการฟังมาวิเคราะห์ ว่าความรู้ที่เราได้รับนั้นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง

    ด.ญ.อังคณา เป็งอินทร์ เลขที่25 , ด.ญ.ปานทิพย์ จินะป๊อก เลขที่ 39 ม.2/1

  4. ผู้ส่งสารมีจุดประสงค์ที่ทำให้เราเข้าใจในเรื่องที่อธิบายเเละเราสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

  5. ด.ช.เอกวัฒน์ วุฒิยาน เลขที่5 ด.ญ.สุริพรรณ ดอนชาดา เลขที่36 ชั้นม.2/1

    1) ควรอ่าน ฟัง ดู อย่างมีวิจารณญาณ
    2) พิจารณาหัวข้อเรื่องว่าสัมพันธ์สอดคล้องกับเรื่องหรือไม่
    3) เรื่องที่เรา อ่าน ดู ฟังมีข้อคิดอย่างไร
    4) เราสามารถนำข้อคิดไปประยุกต์ใช้อย่างไรกับชีวิตประจำวัน
    5) พิจารณาว่าเรื่องที่เราอ่าน ดู ฟัง เกิดเหตุหรือไม่
    6) เรื่องที่น่าเชื่อถือต้องมีที่มา
    7) ไม่ควรฟังเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาเพราะอาจเป็นจริงหรือเท็จก็ได้

  6. อิมออมนุ่น

    พิจารณาความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของสาร
    ด.ญ.กนกพร ปิจดี เลขที่ 8
    ด.ญ.ณัฐชยา ใจพรม เลขที่ 12
    ด.ญ.ศุภลักษณ์ คำสี เลขที 23
    ม.2/1

  7. เด็กหญิงกันต์วรา ล่ำฉกรรจ์ เลขที่ ๙ เด็กหญิงผการัตน์ คำปลิว เลขที่ ๑๘

    ตั้งใจฟังและดูให้เข้าใจ
    สรุปใจความสำคัญของเรื่่อง
    แยกแยะประเภทและลักษณะของเรื่่่่่อง
    แยกแยะข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริงของเรื่อง
    ประเมินค่าและวิเคราะห์เรื่อง

  8. ปานทอง กับ ธณาภรณ์

    เมื่อได้รับสารแล้วพิจารณาสารอย่างมีวิจารณญาณ ดังนี้
    1.ฟังและทำความเข้าใจกับสาร
    2.พิจารณาว่าผู้ส่งสารมีจุดมุ่งหมายในการส่งสารอย่างไร
    3.พิจารณาว่าผู้ส่งสารมีความเกี่ยวข้องกับสารอย่างไร
    4.วิเคราะห์ แยกแยะ ระหว่างเนื้อความของสารกับความคิดเห็นของผู้ส่งสาร และความจริงหรือข้อเท็จจริง รวมทั้งวิเคราะห์ว่าเนื้อความของสารมีความเป็นไปได้หรือไม่ สามารถนำไปประยุกต์ในชีวิตได้อย่างเหมาะสมหรือไม่

    เด็กหญิง ปานทอง โนราช เลขที่ 17
    เด็กหญิง ธณาภรณ์ เทพคำ เลขที่ 13

    ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1

  9. วชิรพันธุ์ สอนศิริ

    1.ควรฟังและดูอย่างตั้งใจให้ได้ใจความที่ผู้ส่งสารส่งมา
    2.ดู ฟัง อ่าน อย่างมีวิจารณญาณ
    3.ควรตังใจฟัง อ่าน พูด เพื่อที่จะสื่อสารกันได้เข้าใจ
    4.เมื่อดู ฟัง อ่าน ให้เข้าใจว่าผู้ส่งสารส่งข้อมูลมาน่าเชื่อถือหรือไม่
    5.พิจารณาว่าข่าวสารนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่และมีสาระอย่างไรบ้าง
    6.สรุปใจความสำคัญของเรื่องให้ได้แก่นแท้ของข้อมูล
    ด.ช.ธีรศักดิ์ อินเขียว ม.2/1 เลขที่3
    ด.ช.วชิรพันธุ์ สอนศิริ ม.2/1 เลขที่4

  10. เจมส์ อัยย์ ชมพู่ ม.2/1

    ตั้งใจดูและฟัง แล้วนำวิเคราะห์ให้เข้าใจและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
    สมาชิก
    ด.ช.พงษ์ศิริ มินทะนา เลขที่ 6
    ด.ญ.วิภาดา มะทะคามิน เลขที่ 22
    ด.ญ.สุทธิดา แข่งขัน เลขที่ 35
    ชั้น ม.2/1

  11. เมื่อได้รับสารเรื่องใดก็ตามต้องพิจารณาอย่างมีวิจารณญาณ ว่าสารที่ได้รับนั้นมีความเชื่อถือได้หรือไม่ แยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็นและเจตคติของผู้ส่งสารว่าต้องการสื่อถึงอะไร ประเมินสารที่ได้รับว่ามีความสำคัญ มีคุณค่าและประโยชน์มาก น้อยเพียงใด และนำสิ่งที่ได้รับจากสารไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน

    ด.ญ.ญาณิศา แสงทอง เลขที่ ๑๑ ชั้นม.๒/๑

    ด.ญ.อรนงค์ คำมอญ เลขที่ ๒๔ ชั้นม.๒/๑

  12. ฟังอย่างตั้งใจ เมื่อฟังแล้วก็นำความรู้ที่ได้จาการฟังมาวิเคราะห์ ว่าความรู้ที่เราได้รับนั้นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง
    ด.ญ.อังคณา เป็งอินทร์ เลขที่25 , ด.ญ.ปานทิพย์ จินะป๊อก เลขที่ 39 ม.2/1

  13. ควรพิจารณาว่าสารหรือเรื่องนั้นมีประโยชน์มากน้อยเพียงใด ตีความหาประเด็นสำคัญแยกแยะข้อเท็จจริงบันทึกสาระสำคัญประเมินคุณค่าและนำคุนค่าสาระสำคัญข้อคิดมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป
    เด็กหญิงศุทธินี ต่างใจ เลขที่ 34 ม.2/1
    เด็กหญิงเกวลิน อินต๊ะนาม เลขที่ 27 ม.2/1

  14. 1.พิจารณาว่าเรื่องนั้นมีคุณค่าหรือมีประโยชน์ควรแก่การใช้วิจารณญาณมากน้อยเพียงใด
    2.ใช้วิจารณญาณไม่ว่าจะเป็นข่าว บทความ สารคดี ข่าว หรือความรู้เรื่องใดก็ตาม ต้องฟังด้วยความตั้งใจจับประเด็นสำคัญให้ได้
    3.แยกแยะข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น เจตคติของผู้พูดหรือแสดงที่มีต่อเรื่องที่พูดดูน่าเชื่อถือได้หรือไม่ และเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด
    4.ขณะฟังควรบันทึกสาระสำคัญของเรื่องไว้
    5.ประเมินสารว่า มีความสำคัญมีคุณค่าและประโยชน์มากน้อยเพียงใด
    6.นำคุณค่าประโยชน์ข้อคิด ความรู้และกลวิธีต่าง ๆ ที่ได้จากการฟังไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
    ด.ญ.จุฬารัตน์ คำขม เลขที่ 28 ด.ญ.รัฐพร แก้วภิรมย์ เลขที่ 30 ม.2/1

  15. ควรพิจารณาว่าสารหรือเรื่องนั้นมีประโยชน์มากน้อยเพียงใด
    กัมพล ท้าวคำ ม.2/3
    ด.ช ธนาวัฒน์ สร้อยทา 2/3 เลขที่1

  16. 1.ควรฟังและดูอย่างตั้งใจให้ได้ใจความที่ผู้ส่งสารส่งมา
    2.ดู ฟัง อ่าน อย่างมีวิจารณญาณ
    3.ควรตังใจฟัง อ่าน พูด เพื่อที่จะสื่อสารกันได้เข้าใจ
    4.พิจารณาว่าข่าวสารนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่
    5.สรุปใจความสำคัญของเรื่องให้ได้แก่นแท้ของข้อมูล

  17. อิงค์ หยา มิ้ลน้อย ฟ้า มิ้ลใหญ่

    1. ต้องเข้าใจความหมาย หลักเบื้องต้นจองการจับใจความของสารที่ฟังและดูนั้น ต้องเข้าใจความหมายของคำ สำนวนประโยคและข้อความที่บรรยายหรืออธิบาย
    2. ต้องเข้าใจลักษณะของข้อความ ข้อความแต่ละข้อความต้องมีใจความสำคัญของเรื่องและใจความสำคัญของเรื่องจะอยู่ที่ประโยคสำคัญ ซึ่งเรียกว่า ประโยคใจความ
    3. ต้องเข้าใจในลักษณะประโยคใจความ ประโยคใจความ คือข้อความที่เป็นความคิดหลัก ซึ่งมักจะมีเนื้อหาตรงกับหัวข้อเรื่อง
    4. ต้องรู้จักประเภทของสาร สารที่ฟังและดูมีหลายประเภท ต้องรู้จักและแยกประเภทสรุปของสารได้ว่า เป็นสารประเภทข้อเท็จจริง
    5. ต้องตีความในสารได้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร ผู้ส่งสารมีเจตนาที่จะส่งสารต่าง ๆ กับบางคนต้องการให้ความรู้
    6. ตั้งใจฟังและดูให้ตลอดเรื่อง พยายามทำความเข้าใจให้ตลอดเรื่อง ยิ่งเรื่องยาวสลับซับซ้อนยิ่งต้องตั้งใจเป็นพิเศษและพยายามจับประเด็นหัวเรื่อง
    7. สรุปใจความสำคัญ ขั้นสุดท้ายของการฟังและดูเพื่อจับใจความสำคัญก็คือสรุปให้ได้ว่า เรื่องอะไร ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไรและทำไม

    ด.ญ.พิมวิภาวรรณ ศรีอักษร เลขที่ 35 ม.2/3
    ด.ญ.คทาเพชร คำชื่น เลขที่ 25 ม.2/3
    ด.ญ.ณัฐวดี พัฒนา เลขที่ 26 ม.2/3
    ด.ญ.เฟื่องฟ้า เรือนคำ เลขที่ 36 ม.2/3
    ด.ญ.สุชาวดี มาแว่น เลขที่ 37 ม.2/3

  18. 1.ควรฟังและดูอย่างตั้งใจให้ได้ใจความที่ผู้ส่งสารส่งมาให้
    2.ดู ฟัง อ่าน อย่างมีวิจารณญาณอย่างมีสติ
    3.ควรตังใจฟัง อ่าน พูด เพื่อที่จะสื่อสารกันได้เข้าใจ
    4.พิจารณาว่าข่าวสารนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่อย่างไร
    5.สรุปใจความสำคัญของเรื่องให้ได้แก่นแท้ของข้อมูลว่าจริงหรือไม่

  19. เมื่อรู้จักหลักในการดูและฟังแล้ว ควรจะรู้จักประเภทเพื่อแยกแยะในการนำไปใช้ประโยชน์
    อนุชิต ยอดปิน

  20. ๑.เลือกดู และฟังเรื่องที่มีสาระ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้
    ๒.ตั้งใจดู และฟังตลอดตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง
    ๓.สรุปใจความสำคัญ อย่างที่เราเข้าใจ โดยใช้สำนวนของตนเอง
    ๔.อ่านซ้ำสิ่งที่เราสรุป จนเข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
    สมาชิก

  21. เมื่อได้รับสารเรื่องใดก็ตามต้องพิจารณาอย่างมีวิจารณญาณ ว่าสารที่ได้รับนั้นมีความเชื่อถือได้หรือไม่ แยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็นและเจตคติของผู้ส่งสารว่าต้องการสื่อถึงอะไร มีคุณค่าและประโยชน์มาก น้อยเพียงใด และนำสิ่งที่ได้รับจากสารไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน และหลายๆสถานะการณ์ต่างๆ

    เด็กหญิงอภิญญา เขื่อนทิพย์ เลขที่ 23 ม.2/3
    เด็กหญิงพรชิตา วงค์กองแก้ว เลขที่ 27 ม.2/3

  22. แพทกับหน่อย

    1. ต้องเข้าใจความหมาย หลักเบื้องต้นจองการจับใจความของสารที่ฟังและดูนั้น
    2. ต้องเข้าใจลักษณะของข้อความ ข้อความแต่ละข้อความต้องมีใจความสำคัญของเรื่องและใจความสำคัญของเรื่องจะอยู่ที่ประโยคสำคัญ
    3. ต้องเข้าใจในลักษณะประโยคใจความ ประโยคใจความ คือข้อความที่เป็นความคิดหลัก ซึ่งมักจะมีเนื้อหาตรงกับหัวข้อเรื่อง
    4. ต้องรู้จักประเภทของสาร สารที่ฟังและดูมีหลายประเภท ต้องรู้จักและแยกประเภทสรุปของสารได้
    5. ต้องตีความในสารได้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร ผู้ส่งสารมีเจตนาที่จะส่งสารต่าง ๆ กับบางคนต้องการให้ความรู้ บางคนต้องการโน้มน้าวใจ
    6. ตั้งใจฟังและดูให้ตลอดเรื่อง พยายามทำความเข้าใจให้ตลอดเรื่อง
    7. สรุปใจความสำคัญ ขั้นสุดท้ายของการฟังและดูเพื่อจับใจความสำคัญก็คือสรุปให้ได้ว่า เรื่องอะไร ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไรและทำไม หรือบางเรื่องอาจจะสรุปได้ไม่ครบทั้งหมดทั้งนี้ย่อมขึ้นกับสารที่ฟังจะมีใจความสำคัญครบถ้วนมากน้อยเพียงใด

    ด.ญ.อุษา ธนะจักร เลขที่ 40 ม.2/3
    ด.ญ.ประภัสสร เผือแก้ว เลขที่33 ม.2/3

  23. ควรฟังและดูอย่างตั้งใจ
    สรุปใจความสำคัญของเรื่องให้ได้แก่นแท้ของข้อมูล
    ด.ช.ชัยวัฒน์ ใจหมั่น เลขที่ 11 ด.ช.เจนณรงค์ นวลคำ เลขที่10 ม.2/3

  24. ควรพิจารณาว่าสารหรือเรื่องนั้นมีประโยชน์มากน้อยเพียงใด ตีความหาประเด็นสำคัญแยกแยะข้อเท็จจริงบันทึกสาระสำคัญประเมินคุณค่าและนำคุนค่าสาระสำคัญข้อคิดมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป

  25. สารที่ให้ความรู้บางครั้งก็เข้าใจง่าย แต่งบางครั้งที่เป็นเรื่องสลับซับซ้อนก็จะเข้าใจยาก ต้องใช้การพินิจพิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง
    พัชรพล สุยาอินทร์ ม.2/3 เลขที่13

  26. ด.ญ อินทิรา สมจิตร เลขที่39 ชั้นม.2/3

    1.ตั้งใจดูและฟังตลอด แล้วนำมาวิเคราะห์
    2.สรุปใจความสำคัญ
    3.ถ้าไม่เข้าใจก็ทบทวนจนเข้าใจ

  27. 1.อ่านและจับใจความสำคัญของสารต่างๆ
    2.รู้จุดมุ่งหมายของสารที่ดูและฟังนั้น
    3.รับฟังและดูอย่างตั้งใจและทำความเข้าใจ
    4.รู้จักสรุปและเลือกนำไปใช้ประโยชน์
    5. วิเคราะห็ว่าสารนั้นเป็นจริงหรือเท็จ

    ด.ญ.ศมพร พิเคราะห์ เลขที่22
    ด.ญ.มานิดา เอี่ยมอ่ำ เลขที่30

  28. ปูเป้กับมิล

    1. ต้องเข้าใจความหมาย หลักเบื้องต้นจองการจับใจความของสารที่ฟังและดูนั้น
    2. ต้องเข้าใจลักษณะของข้อความ ข้อความแต่ละข้อความต้องมีใจความสำคัญของเรื่องและใจความสำคัญของเรื่องจะอยู่ที่ประโยคสำคัญ
    3. ต้องเข้าใจในลักษณะประโยคใจความ ประโยคใจความ คือข้อความที่เป็นความคิดหลัก ซึ่งมักจะมีเนื้อหาตรงกับหัวข้อเรื่อง
    4. ต้องรู้จักประเภทของสาร สารที่ฟังและดูมีหลายประเภท ต้องรู้จักและแยกประเภทสรุปของสารได้
    5. ต้องตีความในสารได้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร ผู้ส่งสารมีเจตนาที่จะส่งสารต่าง ๆ กับบางคนต้องการให้ความรู้ บางคนต้องการโน้มน้าวใจ
    6. ตั้งใจฟังและดูให้ตลอดเรื่อง พยายามทำความเข้าใจให้ตลอดเรื่อง
    7. สรุปใจความสำคัญ ขั้นสุดท้ายของการฟังและดูเพื่อจับใจความสำคัญก็คือสรุปให้ได้ว่า เรื่องอะไร ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไรและทำไม หรือบางเรื่องอาจจะสรุปได้ไม่ครบทั้งหมดทั้งนี้ย่อมขึ้นกับสารที่ฟังจะมีใจความสำคัญครบถ้วนมากน้อยเพียงใด

    ด.ญ.ณัฐพร รินแก้ว เลขที่ 32 ม.2/3
    ด.ช.พีรพัฒน์ ศรีแก้ว เลขที่ 16 ม.2/3

  29. สารที่ได้รับนั้นมีความเชื่อถือได้หรือไม่ แยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็นและเจตคติของผู้ส่งสารว่าต้องการสื่อถึงอะไร ประเมินสารที่ได้รับว่ามีความสำคัญ มีคุณค่าและประโยชน์มาก น้อยเพียงใด และนำสิ่งที่ได้รับจากสารไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันอ

    ด.ญ.พิมพกา คำหล้า ม.2/3 เลขที่28

    ด.ญ.มัญชุภา ถาหล้า ม.2/3 เลขที่29

  30. เอิร์ธ - ริน

    1. เมื่อเราได้รับสารที่ให้ความรู้เราความพิจารณาเรื่องนั้นมีคุณค่าและมีประโยชน์แก่การใช้วิจารณญาณมากน้อยแค่ไหน

    2. ถ้าเรื่องที่ต้องใช้วิจารณญาณไม่ว่าจะเป็นข่าว บทความ สารคดี ข่าว หรือความรู้เรื่องใด ต้องฟังด้วยความตั้งใจจับประเด็นสำคัญให้ได้ ต้องตีความหรือพินิจพิจารณาว่า ผู้ส่งสารต้องการส่งสารถึงผู้รับคืออะไร และตรวจสอบหรือเปรียบเทียบกับเพื่อน ๆ ที่ฟังร่วมกันมาว่าพิจารณาได้ตรงกันหรือไม่อย่างไร หากการฟังและดูของเราต่างจากเพื่อน จะได้ปรับปรุงแก้ไขให้มีปะสิทธิภาพการฟังพัฒนา

    3. ฝึกการแยกแยะข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น เจตคติของผู้พูดหรือแสดงที่มีต่อเรื่องที่พูดหรือแสดงและฝึกพิจารณาตัดสินใจว่าสารได้ที่ฟังและดู น่าเชื่อถือได้หรือไม่

    4. ขณะที่ฟังควรบันทึกสาระสำคัญของเรื่องไว้ตลอด

    5. ประเมินสารที่ให้ความรู้ว่า มีความสำคัญมีคุณค่าและประโยชน์มากแค่ไหน มีแง่คิดอะไรบ้าง และผู้ส่งสารมีกลวิธีในการถ่ายทอดที่ดีน่าสนใจอย่างไร

    6. นำคุณค่าประโยชน์ข้อคิด ความรู้และกลวิธีต่าง ๆ ที่ได้จากการฟังไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต พัฒนาชุมชนและสังคมได้เหมาะสม

    เด็กหญิงกนิษฐกานต์ มหามิตร เลขที่24
    เด็กหญิงศิริยาภรณ์ กองเฟือย เลขที่31
    ม.2/3

  31. ควรตั้งใจดูและฟังหากไม่เข้าใจก็ทบทวนหลายๆครั้งเมื่อเข้าใจก็สรุป

  32. พิจารณาว่าสารหรือเรื่องนั้นมีประโยชน์แก่การพิจารณาอย่างไร ตีความหาประเด็นสำคัญแยกแยะข้อเท็จจริง
    ด.ช.ศิวนนท์ รวมทรัพย์ เลขที่่ 14 ชั้น ม.2/3

  33. ๑.ควรตั้งใจอ่านและตั้งใจฟังอย่างมีวิจารณญาณ
    ๒.ทำความเข้าใจในเรื่องที่เราอ่าน
    ๓.สรุปใจความสำคัญหรือเรื่องย่อของเรื่องที่อ่าน
    ๔.นำข้อคิดจากเรื่องที่อ่านไปใช้ในชีวิตประจำวัน
    สมาชิก
    ๑.ด.ช.ธนพล เทนุรักษ์ เลขที่ 4 ม.2/3
    ๒.ด.ช.เกริกเกียรติ กองบุญเรือง เลขที่ 17 ม.2/3
    ๓.ด.ช.กฤษฎา กาละวงค์ เลขที่ 8 ม.2/3

  34. .ใช้วิจารณญาณไม่ว่าจะเป็นข่าว บทความ สารคดี ข่าว หรือความรู้เรื่องใดก็ตาม ต้องฟังด้วยความตั้งใจจับประเด็นสำคัญให้ได้
    ด.ช.ณัฐพงษ์ อิ่มเพ็ง ชั้นม.2/3 เลขที่3
    ด.ช. พีรพัฒน์ ศรีแก้ว ชั้น ม.2/3 เลขที่ 16

  35. ตั้งใจฟังและดูให้เข้าใจ
    .พิจารณาว่าข่าวสารนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่
    ด.ช. พัฒนพล ทนหาญ เลขที่6 ม.2/3

ส่งความเห็นที่ kunkrunongkran ยกเลิกการตอบ